วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2555

มท.1เผยนายกฯกังวลน้ำท่วม





วันนี้ ( 16 ก.ย.) ที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) นายปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วิทยาศาสวตร์และเทคโนโลยี ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) พร้อมด้วยนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารหรือไอซีทีและนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รมต.ประจำสำนักนายกฯ ประชุมทางไกลร่วมกับผู้ว่าฯ 36 จังหวัดในพื้นที่ต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำผ่านระบบวีดีโอ คอนเฟอร์เรนซ์ เพื่อติดตามและประเมินสถานการณ์ในขณะนี้
โดยนายยงยุทธ กล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์น้ำท่วมถือว่ายังไม่รุนแรง แต่นายกฯ มีความเป็นกังวลอย่างมาก ทั้งนี้เมื่อสถานการณ์น้ำท่วมเกิดขึ้นขอความกรุณาสื่อเรื่องของการพาดหัว ข่าวว่าอย่าให้เกิดความตื่นเต้นกับประชาชนมากนัก ในส่วนของผู้ว่าราชการจังหวัดจะต้องติดต่อได้ทางโทรศัพท์เคลื่อนที่โดยขอให้ นำติดตัวไว้ตลอดเวลา ห้ามปิดเครื่องโดยเด็ดขาด เพราะเมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นจะต้องสามารถรายงานนายกรัฐมนตรีและ กบอ.ได้ทันที
นายปลอดประสพ กล่าวว่า การประชุมในวันนี้เกิดจากข้อห่วงใยของนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้นำรัฐบาลต่อชีวิต ทรัพย์สินและความรู้สึกของประชาชน โดยนายกฯประสงค์ให้ประเมินและติดตามสถานการณ์ตลอดเวลา และมีการรายงานข้อมูลอย่างเป็นระบบ นับจากนี้ขอให้ระบบซิงเกิลคอมมานด์ของกบอ.เชื่อม โยงกับระบบของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยซึ่งเป็นระบบหลักให้พร้อมเผชิญ เหตุช่วยเหลือประชาชน รวมทั้งประเมินผลให้เป็นข้อมูลเดียวเพื่อการปฎิบัติอย่างมีคุณภาพ เพราะเวลานี้ภัยน้ำท่วมก้าวข้ามจากพื้นที่จังหวัดเดียวครอบคลุมหลายจังหวัด จึงต้องให้ทั้ง 2 ระบบเชื่อมโยงกันในการแก้ไขปัญหา
"ทั้งนี้เรากำลังต่อสู้อยู่กับภัย 2 ด้าน คือ 1.ต่อสู้กับภัยน้ำท่วม ซึ่งเชื่อว่าเราจะผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้ 2.ต่อสู้กับความกลัวของประชาชน ซึ่งจากปัญหาน้ำท่วมเมื่อปี 2554 ที่ผ่านมาทำให้ประชาชนหวาดกลัวเพราะเกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจและสังคมมาก มาย ดังนั้นเป็น 2 แนวรบที่ดูว่าจะต้องทำอย่างไรให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นต่อรัฐบาล ทั้งการบริหารจัดการและสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน ศึกนี้จะรู้ผลแพ้ชนะ 1 เดือนหลังจากนี้ และไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรเราจะต้องผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปให้ได้ ขอให้ผู้ว่าฯ ในฐานะผู้ปฏิบัติมีความมั่นใจก่อนเป็นคนแรก สู้ให้สุดฤทธิ์ด้วยความสามัคคีและปัญญา" นายปลอดประสพ กล่าว
นายปลอดประสพ กล่าวอีกว่า สำหรับแผนเผชิญเหตุจะมีอยู่ 2 ระดับคือ  ระดับประเทศ ประกอบด้วย 10 ด้าน ได้แก่ 1. ต้องมีการจัดกำลังพลโดยการสนธิกำลังของฝ่ายอำนวยการและฝ่ายปฏิบัติการ รวมถึงผู้มีอำนาจตัดสินใจมาประจำที่ กบอ. ตลอด 24 ชั่วโมง 2. ฝ่ายวิชาการจะต้องประมาณสถานการณ์ทุก 3-6 ชั่วโมง 3. ต้องมีการสรุปสถานการณ์ประจำวันทุก 09.00 น. เพื่อการตัดสินใจ 4. ต้องมีการแถลงข่าวทุกวัน เพื่อการส่งต่อข้อมูลไปถึงประชาชน รวมทั้งจะต้องให้ข้อมูลสถานการณ์น้ำแบบรีลไทม์ทุกรายชั่วโมง 5. ต้องเชื่อมโยงข้อมูล รวมทั้งมีระบบสำรอง
"6. ต้องมีการเตรียมความพร้อมทั้งเครื่องบิน เฮลิคอปเตอร์ รถและเรือให้ใช้งานได้ตลอดเวลา 7. ต้องมีการต้องมีการติดตั้งระบบประชุมทางไกล ผ่านระบบเทเลคอนเฟอเรนท์ โดยให้สามารถติดต่อผู้ว่าฯได้ ตลอด 24 ชั่วโมง 8. ต้องมีป้ายประกาศขนาดใหญ่ ที่ กบอ. ตึกแดง ทำเนียบรัฐบาล เพื่อให้ทุกคนเห็นวาระการสั่งการตลอดเวลา 9. เตรียมรายชื่อและเบอร์โทรศัพท์ของผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งระดับอำนวยการและ บริหารแจกจ่ายกับผู้ปฏิบัติงานทุกคนโดยเร็วที่สุด และ 10. ขอให้ฝ่ายทหารส่งฝ่ายอำนวยการมาประจำที่ กบอ. โดยต้องเป็นผู้ที่สามารถดำเนินการได้ครอบคลุมทุกภารกิจ" นายปลอดประสพ กล่าว 
นายปลอดประสพ กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนแผ่นเผชิญเหตุระดับพื้นที่ ประกอบด้วย 1. จัดตั้งศูนย์ส่วนหน้าระดับจังหวัด 2.ในพื้นที่ริมน้ำให้มีหน่วยเผชิญเหตุระดับตำบลและอำเภอ รวมทั้งระบบหมู่บ้านในพื้นที่ที่เกิดผลกระทบ โดยให้ดำเนินการภายใน 24 ชั่วโมง 3. ติดตั้งเครื่องมือสื่อสารให้พร้อม 4. ประเมินสถานการณ์ทุก 3-6 ชั่วโมงและรายงานตามลำดับชั้น 5. เป็นคำสั่งนายกฯ ให้มีการเตรียมเครื่องมืออุปกรณ์ระดับจังหวัดให้พร้อม เช่น รถแทรกเตอร์ แบ็คโฮ บิ๊กแบ๊ก เกเบรียล ให้พร้อมใช้งาน
"6.ขอให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจัดทำบัญชีเครื่องมือ รวมทั้งรายชื่อโรงพยาบาล วัด หรือร้านค้า ในระดับจังหวัดให้พร้อมสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือประชาชนเหมือนกำลังทำศึก สงคราม 7. เตรียมสถานที่ใช้อพยพเด็กและผู้สูงอายุก่อนน้ำจะมา ห้ามอพยพแบบลุยน้ำออกมา ถ้ามีปัญหาตนจะรายงานกระทรวงมหาดไทย 8. ให้จัดทำรายชื่อผู้เกี่ยวข้องระดับจังหวัดและอำเภอ พร้อมหมายเลขโทรศัพท์ติดต่อและ 9.นายกฯ สั่งการให้มีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ในพื้นที่ตลอดเวลา แม้ว่าน้ำจะยังไม่มา" นายปลอดประสพ กล่าว 
ด้านนายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า  ขณะนี้ปริมาณน้ำเริ่มไหลทรงตัว ดังนั้นจะไม่มีผลกระทบต่อพื้นที่เศรษฐกิจของ จ.สุโขทัย ขณะที่ปริมาณน้ำที่บริเวณทุ่งบางระกำ จ.พิษณุโลกก็มีปริมาณลดลง ส่วนบริเวณบางไทร จ.พระนครศรีอยุธยาก่อนจะเข้า กทม.ก็ลดลงเช่นเดียวกัน ขณะที่น้ำในเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จ.ลพบุรี ก็มีการระบายน้ำเพื่อรักษาสภาพเขื่อนให้สามารถรับมวลน้ำที่จะมาใหม่ได้ ดังนั้นปริมาณน้ำก็จะไม่กระทบกับแม่น้ำป่าสัก และสถานการณ์น้ำยังไม่วิกฤต
ขณะ ที่นายรอยล จิตรดอน ประธานคณะอนุกรรมการการติดตามวิเคราะห์สถานการณ์น้ำและจัดสรรน้ำ ในนคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) กล่าวว่า สิ่งที่ต้องเฝ้าระวังคือในช่วงวันที่ 16-18 ก.ย. นี้จะมีฝนตกหนัก ในพื้นที่ฝั่งตะวันตก เช่น อุทัยธานี ตาก ซึ่งจะต้องเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำในแม่น้ำปิง ขณะที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาจะมีน้ำขัง 300-400 ล้าน ลบ.ม.  ยืนยันว่าผลกระทบจากน้ำฝนจะไม่เกิดขึ้นใน กทม.และทุกคนจะปลอดภัย  ทั้งนี้ยังมีเวลาเตรียมการอีก 1 สัปดาห์คือหลังวันที่ 17 ก.ย. เป็นต้นไปเพื่อเตรียมรับมือร่องมรสุมที่กำลังจะพัดผ่านประเทศไทย
 ด้านนายอานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา กรรมการ กบอ. กล่าว ว่า ขณะนี้น้ำที่ท่วมเป็นน้ำเอ่อล้นผิวดินกลายเป็นน้ำนอง ทั้งในภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางตนบน ประมาณ 8.5 แสนไร่ หากเปรียบเทียบกับช่วงเดือน ก.ย.ปี 54 มีน้ำมากถึง 3.5 ล้านไร่ ดังนั้นถือว่าปีนี้น้ำน้อยมาก ขณะที่ลุ่มน้ำยม เช่น อ.กงไกรลาศ จ.สุโขทัย ก็มีปริมาณน้ำเพียง 1.6 แสนไร่ ส่วนอยุธยามีน้ำนองเพียง 1.5 หมื่นไร่ ขณะที่ช่วงเวลาเดียวกันของปี 54 มีน้ำนองมากถึง 3 แสนไร่ ยืนยันว่าปีนี้น้ำน้อยมาก
 ทั้งนี้นายปลอดประสพ กล่าวสรุปในตอนท้าย ว่า เหตุการณ์น้ำท่วมเมื่อปีที่แล้วเป็นน้ำที่ล้นจากแม่น้ำเข้าไปท่วมในทุ่งจน เกิดน้ำท่วมทุ่งขนาดใหญ่ แต่ในปีนี้100 เปอร์เซ็นต์เป็นน้ำฝนที่ตกแล้วขังในทุ่งก่อนไหลลงแม่น้ำ  ปี นี้เป็นเพียงน้ำฝนธรรมดา จึงจะไม่มีน้ำท่วมใหญ่ให้เห็นแน่นอน อย่างไรก็ตามจุดที่ต้องลงแขกกันให้หนักคือทุ่งบางระกำ .ซึ่งเป็นจุดที่มีแม่น้ำ 2 สายมาบรรจบ คือ น้ำยมตอนล่าง และแม่น้ำน่าน ยืนยันว่าจะไม่ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของชาว กทม.ต้องลำบากแน่นอน โดยหากมีน้ำมาจะเร่งผันไปทางพื้นที่ฝั่งตะวันออกเพื่อให้ไหลออกแม่น้ำบางปะกง ก่อนออกคลองด่าน จ.สมุทรปราการต่อไป
ด้าน นอ. อนุดิษฐ์ กล่าวว่า กระทรวงไอซีทีได้จัดทีมเตรียมการสื่อสารสำรอง พร้อมปฏิบัติการในกรณีโครงข่ายการสื่อสารหลักชำรุดไว้แล้ว รวมทั้งได้จัดสายด่วน เพื่อรับรายงานสถานการณ์น้ำ และให้ข้อมูลกับประชาชนไว้แล้ว
รายงาน ข่าวจากกรมชลประทาน เปิดเผยว่ากรมประทาน ได้สรุปสถานการณ์น้ำท่วมปี 55 โดยสรุปว่ามี 7 จ.คือ แพร่ สุโขทัย พิษณุโลก นครสวรรค์ ชัยนาท พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง รับผลกระทบจากน้ำท่วม เนื่องจากมีปริมาณน้ำน้อยกว่าปี 54 ถึง 60 เปอร์เซนต์ และมีแนวโน้มจะไม่ได้อธิพลจากพายุโดยตรง ซึ่งได้คาดการณ์จนสิ้นสุดฤดูฝนในเดือนตุลาคมนี้ โดยตั้งเป้าว่าจะมีน้ำไหลเข้าเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ ได้ปริมาณความจุไม่เกินร้อยละ 60 เพราะขณะนี้ใกล้สิ้นสุดหน้าฝนมีน้ำไหลเขื่อนภูมิพล อยู่ที่ 80 กว่าล้านลบมเท่านั้น เขื่อนสิริกิต์ อยู่ 100 กว่าล้านลบม โดยทั้งสองเขื่อนได้ปิดการระบายไปแล้วเพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้หน้าแล้งที่จะ เริ่มเดือนพฤศจิกายนนี้

ทั้งนี้จากร่องมรสุมได้ลดลงมาภาคเหนือตอน ล่างและภาคกลางตอนบน ทำให้เขื่อนไม่ได้รับฝนจากร่องดังกล่าวทำให้ฝนมาตกในพื้นที่ จ.แพร่ จ.ลำปาง จ.สุโขทัย และเป็นผลให้ปริมาณน้ำยมล้นตลิ่งเนื่องจากยังเป็นลุ่มน้ำเดียวที่ไม่มีระบบ บริหารจัดการ รวมทั้งจากลุ่มน้ำน่านบางส่วนที่มาบรรจบกับลุ่มน้ำยม ซึ่งปัจจุบันมีปริมาณน้ำเหนือค้างในพื้นที่ต่่างในพื้นที่ลุ่มต่ำตลอดแนว ลุ่มมน้ำยม และลุ่มน้ำเจ้าพระยา 4 พันกว่าล้านลบม.เท่านั้น ต่างจากปี54 ที่มีปริมาณน้ำเหนือถึง 2 หมื่นกว่าล้าน

สถานการณ์น้ำเหนือระดับนี้ไม่ส่งผลให้น้ำท่วมขยายวงกว้างและพื้นที่รับน้ำ นอง 2.2 ล้านไร่ ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ เพราะพื้นที่รับน้ำนองในด้านเหนือเขื่ิอนเจ้าพระยา ตั้งแต่ จ.พิษณุโลก จ.พิจิตร จ.นครสวรรค์ จ.ชัยนาท ประมาณ 1ล้านไร่ยังไม่มีน้ำการผันเข้าไป คาดการณ์ว่าปริมาณน้ำเหนือลดลงส่งผลให้พื้นที่ริมน้ำและพื้นที่ลุ่มต่ำน้ำ ท่วมเป็นประจำทุกปี น้ำจะลดลงเร็วกว่าทุกปี จาการขุดลอดคูคลอง แม่น้ำสายหลัก ทำให้การระบายเป็นไปได้ดีขึ้นและไม่มีผลกระทบกับกรุงเทพฯและปริมณฑลแต่อย่าง ใด ซึ่งในขณะเดียวกันก็ยังมีพื้นที่ประสบภัยแล้งอยู่อีก 4 จ.คือบุรีรัมย์ นครศรีธรรมราช สุราษฐ์ธานี พัทลุง อย่างไรก็ตามล่าสุดปริมาณน้ำเขื่อนทั่วประเทศมีระดับกักเก็บร้อยละ 66 แต่ปริมาณน้ำใช้การได้เพียง ร้อยละ 33

วันเดียวกัน พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ให้สัมภาษณ์ถึงมาตรการการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) ได้กำชับให้กองทัพภาคที่ 3 โดยให้หน่วยทหารทุกหน่วยที่อยู่ในพื้นที่ให้ความสำคัญกับความเดือดร้อนของประชาชน ให้เร่งดำเนินการช่วยเหลือประชาชนให้ทันต่อสถานการณ์ ไม่ต้องรอให้มีการประสานขอความช่วยเหลือ โดยให้หน่วยต่างๆเข้าไปติดต่อประสานการทำงานเพื่อใช้ศักยภาพของกำลังพลและยุทโธปกรณ์อย่างเต็มที่ เช่น การขนย้ายสิ่งของ การอพยพ อุดรอยรั่ว ทำพนังกั้นน้ำตามจุดต่างๆ โดยประสานความร่วมมือหน่วยงานในพื้นที่

พ.อ.สรรเสริญ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาเจ้าหน้าทุกฝ่ายพยายามเตรียมการป้องกันน้ำท่วมอย่างเต็มความสามารถด้วยการขุดคูคลอง จัดที่รองรับน้ำ  แต่ว่าพื้นต้นน้ำบริเวณลุ่มแม่น้ำยมมีฝนตกมาอย่างหนักและต่อเนื่อง ทำให้ปริมาณน้ำที่ลุ่มแม่น้ำยมสูงมากซึ่งแม่น้ำยมไม่มีเขื่อนที่รองรับน้ำ ทำให้น้ำไหลลงมาอย่างรวดเร็ว ซึ่งพนังกั้นน้ำทำไว้ตรงขอบสูงเพียง 7.40 เมตร แต่ระดับน้ำขนาดนี้สูง 7.30 เมตร แต่สาเหตุที่น้ำเข้ามาในพื้นที่ตัวเมืองเพราะพนังกั้นน้ำที่ทำไว้ 7.40 เมตรนั้นไม่เท่ากันตลอดแนวจะสูงหรือจะต่ำขึ้นอยู่กับพื้นดินข้างล่าง จึงเป็นเหตุให้น้ำล้นทะลักเข้ามาในเขตพื้นที่ตัวเมือง นอกจากนี้ยังมีน้ำที่พุดขึ้นมาจากใต้พนังกั้นน้ำที่เข้ามาเพิ่มอีก ซึ่งขนาดนี้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และทหารกำลังเร่งทำงานอย่างเต็มที่เพื่อให้ช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัยและทำให้สถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว

ในพื้นที่ จ.สุโขทัย ที่มีน้ำทะลักเข้ามาในตัวเมืองกองทัพภาคที่ 3 ได้เร่งทำกระสอบทรายเพื่อเข้าไปเสริมในจุดพนังกั้นน้ำที่เป็นพื้นที่ต่ำเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำทะลักเข้ามาในตัวเมือง ซึ่งตอนนี้กำลังดำเนินการเร่งอพยพพี่น้องประชาชนออกมาอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยจนกว่าน้ำจะลดระดับลง พร้อมส่งชุดแพทย์ลงพื้นที่เพื่อให้การรักษาผู้ที่บาดเจ็บหรือมีอาการป่วย” โฆษก ทบ.กล่าว.
ที่มาเดลินิวส์ 

วันพุธที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2555

ชาวบ้านโล่งปล่อยน้ำผ่านคลองทวีวัฒนา





ชาวบ้านโล่งปล่อยน้ำผ่านคลองทวีวัฒนาผ่านฉลุย "สุขุมพันธุ์" กดปุ่มปิดประตูระบายน้ำดัวยตัวเอง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเวลา 17.00 น. วันนี้ (5 ก.ย.) ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯกทม.ได้ทำพิธีกดปุ่มปิดบานประตูระบายน้ำคลองทวีวัฒนา กดบานลงจนมิดบานหลังจากปล่อยระบายน้ำตั้งแต่ระดับ 7 ลบ.ม.ต่อวินาทีจนถึงระดับ 16 ลบ.ม.ต่อวินาที เพื่อทดสอบอัตราการไหลของน้ำพร้อมกับเปิดเครื่องผลักดันน้ำ ซึ่งระยะการเดินทางของน้ำใช้เวลาทั้งหมด 3 ชม.ก่อนลงแม่น้ำท่าจีนและคลองมหาชัย ซึ่งในช่วงบ่ายได้มีฝนตกลงมาประปรายแต่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการทดสอบ ทำให้ชาวบ้านที่เฝ้าดูการทดสอบต่างโล่งอกและเห็นว่าระดับน้ำอยู่ในระดับต่ำกว่าตลิ่งเกือบเมตร.
ที่มา เดลินิวส์

วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2555

“โอ๊ค” จี้ “อภิสิทธิ์” ตอบปมหนีทหาร



“โอ๊ค” โดดป้อง “อาปู” เรื่องย้ายปลัดกลาโหม จี้ “อภิสิทธิ์” ตอบปมหนีทหารก่อน
วันนี้ (2 ก.ย.) นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า "อีกข่าวที่เห็นแล้วอดจี๊ดไม่ได้ตามประสาองครักษ์พิทักษ์อาปู (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี) ก็คือที่ผู้นำฝ่ายค้านออกมาพูดถึงนายกฯปู เรื่องการย้ายปลัดกลาโหมว่า ยุทธศาสตร์หลักของเขาคือ อะไรที่จะเป็นปัญหาก็อย่าให้นายกฯ เข้าไปเกี่ยวข้อง ตนขอถามง่าย ๆ ว่า คนเป็นนายกรัฐมนตรี จะไม่อ่านหนังสือพิมพ์เลยหรือ จะไม่เห็นข่าวเลยหรือ จะเป็นคนเดียวเลยหรือในสังคมที่เกี่ยวข้องกับวงการเมืองแล้วไม่รู้ว่ามีเรื่องนี้เกิดขึ้น ครับในเมื่อท่านบอกว่า ขอถามนายกปูง่าย ๆ ผมก็ขอถามท่านง่าย ๆ มั่งว่า ท่านผู้นำฝ่ายค้านนี่ช่างกล้าที่จะถามเรื่องของคนอื่น แต่ไม่กล้าที่จะตอบเรื่องของตัวเองต่อสังคม จริงหรือไม่ครับเพราะสิ่งที่ผมถามท่าน 4 ข้อ เกี่ยวกับเรื่องการเข้าเป็นทหาร ไม่เคยได้รับคำตอบ มีแต่เพียงบอกว่า ไม่ได้อ่านเฟซบุ๊กนายพานทองแท้ ทั้ง ๆ ที่หนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับลงคำถามที่ผมถามไปทั้งนั้น แบบนี้ผมก็ถามมั่งสิครับว่า ผู้นำฝ่ายค้านจะเป็นคนเดียวเลยหรือในสังคมที่เกี่ยวข้องกับวงการเมืองแล้วไม่รู้ว่ามีเรื่องนี้เกิดขึ้น
นายพานทองแท้ ระบุอีกว่า ผมเองก็ไม่ทราบว่าการที่ท่านไม่ตอบคำถามโดยอ้างว่าไม่ได้อ่านเฟซบุ๊กผมแบบนี้ เป็นเพราะกำลังโกหกสีขาว,สีดำหรือสีอะไรหรือไม่ แต่เกรงว่าถ้าปล่อยให้มันคลุมเครืออย่างนี้ต่อไป ในขณะที่ท่านดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มันจะดูไม่งาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เขาลือว่าจะมาเป็นหัวหน้าพรรคแทน ก็ไม่เห็นมีใครออกมาช่วยท่านพูดสักคน เฮ้อ! เห็นแล้วว้าเหว่แทนจริงๆครับ.
ที่มา http://spser.com/board/index.php?topic=1753.msg1839#msg1839

ข่าวการเมือง 

วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เลือก “สถาพร หลาวทอง”เป็นกก.ป.ป.ช.

คณะกรรมการสรรหามีมติเลือก “พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง”เป็นกก.ป.ป.ช.

วันนี้ (31ส.ค.) ที่รัฐสภา คณะกรรมการสรรหากรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ มีนายไพโรจน์ วายุภาพ ประธานศาลฎีกาเป็นประธาน ได้ประชุมพิจารณาคัดเลือกผู้สมควรได้รับการเสนอชื่อเป็นกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จากรายชื่อผู้สมัครเข้ารับสรรหา 10 คนปรากฏว่าที่ประชุมลงมติเลือก พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง จเรตำรวจแห่งชาติ ด้วยเสียง 5 คะแนน ไม่น้อยกว่าสองในสามของกรรมการทั้งหมดเท่าที่มีอยู่
ทั้งนี้มีกรรมการ 5 คน ผู้ได้รับเลือกต้องได้รับอย่างน้อย 4 คะแนน  ต่อไปคณะกรรมการสรรหาจะได้นำรายชื่อผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นกรรมการป.ป.ช. เสนอประธานวุฒิสภาให้ที่ประชุมวุฒิสภาเห็นชอบเป็นกรรมการป.ป.ช.จากเสียงข้างมากเห็นชอบ.

ทักษิณ” ให้คะแนนรัฐบาล


“ทักษิณ” ให้คะแนนรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์” ฉลุยผลงาน 1 ปี แนะให้อดทนไม่สร้างความขัดแย้ง การปฏิวัติเกิดขึ้นได้ตลอด ยันโครงการรับจำนำข้าวโปร่งใส

วันนี้ ( 31 ส.ค.) พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์วอยซ์ ทีวี ว่า ให้คะแนนการทำงานรัฐบาล 1 ปีที่ผ่านมา อยู่ที่ร้อยละ 60 - 70 เพราะรัฐบาลต้องทุ่มเทในเรื่องน้ำท่วม จนทำให้อีกหลายเรื่องต้องสะดุด พร้อมกันนี้ยังชม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่า เก่งกว่าที่คิดไว้ ทุ่มเทและคล่องตัวขึ้นมาก รวมทั้งยังมีภาวะผู้นำ ไม่ใช่ Public Prime Minister ของใคร ซึ่งที่ผ่านมายอมรับว่ามีการเชื่อมโยงข้อมูลกับนายกรัฐมนตรีบ้าง เรื่องตัวบุคคลที่จะปรับคณะรัฐมนตรี ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะสอบถามมาบางครั้ง แต่ไม่เคยเถียงหรือขัดแย้งกัน เพราะนายกรัฐมนตรี มีอิสระที่จะเลือก จากนี้ต่อไปเชื่อว่ารัฐบาลจะต้องทำงานหนักขึ้น เพราะยังมีรัฐธรรมนูญที่จ้องล้มรัฐบาล นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังแนะนำให้รัฐบาลอดทน ทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญและร่างพระราชบัญญัติปรองดอง ที่แม้จะเห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญทำไม่ถูกนัก แต่รัฐบาลก็ควรต้องอดทนเพื่อไม่สร้างความขัดแย้ง ซึ่งมีผู้กล่าวไว้ว่า การปฏิวัติยังเกิดขึ้นได้ตลอด แต่เห็นว่าทำไปก็ไม่คุ้ม และไม่อยากให้เกิดขึ้น
         
พ.ต.ท.ทักษิณ ยังกล่าวยืนยันว่า โครงการจำนำข้าวไม่ได้มีการทุจริต และกล้ายืนยันว่า การจำนำข้าวดีกว่าการประกันราคา แต่ถ้าพบว่า โครงการทุจริต ให้รัฐบาลลงโทษได้เลย ส่วนราคาข้าวที่สูงขึ้นในตลาดโลกนั้น จะเป็นผลดี ทำให้คนมาซื้อข้าวที่ไทย เพราะทราบว่าไทยมีสต๊อกข้าว ซึ่งรัฐบาลไม่ได้แกล้งผู้ส่งออก แต่แค่ให้ปรับตัวและช่วยเกษตรกรเท่านั้น เช่นเดียวกับนโยบายรถคันแรกและบ้านหลังแรกที่จำเป็นต้องทำ เพราะปัจจัย 4 เปลี่ยนไป ส่วนการปรับค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท และเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาทนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ แนะนำว่า เอกชนควรเปลี่ยนวิธีคิด และปรับกลยุทธ์มากกว่าโจมตีรัฐบาล พร้อมปฏิเสธว่า โครงการกองทุนต่างๆ เป็นการสร้างหนี้แต่ยืนยันว่า เป็นการสร้างโอกาส.

วันอังคารที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2555

โอ๊คเหน็บมาร์ค



วันที่ 14 ส.ค. ที่พรรคเพื่อไทย นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า ได้พูดคุยกับนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถึงกรณีที่ถูกกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยต่อต้านระหว่างเดินทางไปสหรัฐอเมริกาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังคงสบายใจและสามารถเดินทางไปตามสถานที่ต่าง ๆ ในสหรัฐได้ต่อไป แม้มีกลุ่มคนบางกลุ่มมาต่อต้านก็ตาม เพราะการแสดงออกต่าง ๆ เป็นสิทธิเสรีภาพ  แต่ถ้าต่อไปกลุ่มพันธมิตรฯ ไปต่างประเทศแล้วมีคนต่อต้านก็คงไม่เป็นผลดี ส่วนกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ใช้วาทกรรมโจมตีสหรัฐที่ให้วีซ่าเข้าประเทศแก่ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้น ถือเป็นการไร้มารยาททางการทูตที่ไปแทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่น ขอตั้งข้อสังเกตว่าระยะหลังสหรัฐไม่ให้ความสำคัญกับประเทศไทยมากนักในเวทีอาเซียน เพราะมีปัญหาการเมืองในประเทศ  ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องเร่งสร้างภาพลักษณ์ประเทศในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาวให้ดีขึ้น
 ติดตาม 
นายจิรายุ ยังกล่าวถึงกรณีน.ส.มัลลิการ์ บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กโจมตีนายพานทองแท้ โดยพาดพิงถึงบุพการีว่า เป็นสิ่งอัปมงคลทางการเมืองในวันแม่แห่งชาติที่พรรคประชาธิปัตย์ใช้วันสำคัญด่าแม่คนอื่น ซึ่งนายพานทองแท้ไม่อยากไปตอบโต้ ขอเรียกร้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ หากตอบโต้เรื่องการเกณฑ์ทหารไม่ได้ ก็ให้อยู่เฉย ๆ ไม่ต้องให้ทีมงานออกมาด่าแม่คนอื่น

วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2555

รถโบราณเทิดพระเกียรติ


ที่กองบัญชาการทหารบก ถนนราชดำเนิน พล.อ.ชวลิต เพิ่มทรัพย์ เสนาธิการทหารบก เป็นประธานพิธีปล่อยขบวนพาเหรดรถยนต์โบราณที่ตกแต่งอย่างสวยงาม ร่วมกับมูลนิธิเจษฎากรุ๊ป  จำนวน 99 คัน เนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ครบ  80 พรรษา พร้อมเปิดกรวยดอกไม้ และนำนายทหารกองทัพบกกล่าวแสดงความจงรักภักดีและถวายพระพร
จากนั้นขบวนพาเหรดรถยนต์โบราณได้วิ่งโชว์เทิดพระเกียรติรอบเกาะรัตนโกสินทร์  ก่อนจอดแสดงให้ประชาชนชมที่ลานพระรูปทรงม้าเป็นเวลา 2 วัน ทั้งนี้ยังมีรถบัสโบราณ จำนวน 17 คันจะให้ประชาชนนั่ง ชมแสงสีการประดับประดาของภาครัฐและภาคเอกชนเนื่่องในวันแม่แห่งชาติตลอดถนนราชดำเนินจนถึงสนามหลวงฟรี โดยช่วงเย็นในเวลา 19.09 น.จะมีพิธีจุดเทียนชัยถวายพระพร ด้านหน้ากองบัญชาการทหารบก โดยรัฐบาลจะทำพิธีถวายพระพรที่ท้องสนามหลวงพร้อมหน่วยงานรัฐและประชาชนทั่วประเทศด้วย.